การฟอกสีฟัน | มีกี่แบบ แบบไหนดีสุด?

อยากมีรอยยิ้มที่ขาวสว่างและสดใสเหมือนดาราในฝันไหม? การฟอกสีฟันคือทางลัดที่ช่วยให้คุณมีรอยยิ้มที่มั่นใจได้ง่ายกว่าที่คิด บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ -วิธีฟอกสีฟัน- แต่ละแบบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้คุณเลือกรอยยิ้มที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวเอง

รอยยิ้มที่ขาวสะอาดและสดใสสามารถสร้างความประทับใจแรกพบได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ในชีวิตประจำวัน ฟันของเราต้องเผชิญกับคราบสะสมจากอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้แต่พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ทำให้สีฟันค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเดิม การฟอกสีฟันจึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการฟื้นฟูความขาวและคืนความมั่นใจให้กับรอยยิ้มของคุณ บทความนี้จะครอบคลุมตั้งแต่หลักการทำงานของการฟอกสีฟัน ไปจนถึงการเปรียบเทียบแต่ละประเภทอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจว่า ฟอกสีฟันแบบไหนเหมาะสมกับคุณมากที่สุด

การฟอกสีฟันคืออะไร?

การฟอกสีฟันคือกระบวนการทางทันตกรรมที่ใช้สารฟอกสีที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ (Carbamide Peroxide) โดยสารเหล่านี้จะซึมผ่านชั้นเคลือบฟัน (Enamel) เข้าไปในเนื้อฟัน (Dentin) และสลายโมเลกุลของคราบสีที่เกาะอยู่ภายใน ทำให้สีฟันโดยรวมมีความสว่างและขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

สาเหตุหลักที่ทำให้ฟันมีสีคล้ำ

ฟันที่เหลืองหรือคล้ำไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ

  • คราบภายนอก (Extrinsic Stains): เกิดจากการสะสมของคราบอาหาร, เครื่องดื่มที่มีสีเข้ม (เช่น กาแฟ, ชา, ไวน์แดง), การสูบบุหรี่ หรือการดูแลช่องปากที่ไม่ดี คราบเหล่านี้มักจะเกาะอยู่บนผิวเคลือบฟัน
  • คราบภายใน (Intrinsic Stains): เกิดจากปัจจัยที่อยู่ภายในโครงสร้างฟัน เช่น พันธุกรรม, อายุที่เพิ่มขึ้น (ชั้นเนื้อฟันจะหนาและเหลืองขึ้น), การได้รับยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracycline) ในช่วงวัยเด็ก หรือการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป

ประโยชน์ของการฟอกสีฟัน

นอกจากจะได้รอยยิ้มที่ฟันขาวและสวยงามแล้ว การฟอกสีฟันยังมีประโยชน์อีกมากมาย ได้แก่:

  • สร้างความมั่นใจ: รอยยิ้มที่สดใสช่วยเสริมบุคลิกภาพ ทำให้คุณกล้ายิ้มและกล้าแสดงออกมากขึ้น
  • ดูอ่อนเยาว์ขึ้น: สีฟันที่ขาวสว่างช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ลง
  • ปลอดภัยหากทำโดยทันตแพทย์: หากเลือกวิธีฟอกสีฟันที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ จะเป็นวิธีที่ฟอกสีฟันปลอดภัยและได้ผลจริง

ข้อดี-ข้อเสียการฟอกสีฟันแต่ละแบบ

ปัจจุบันมีวิธีฟอกสีฟันให้เลือกหลากหลาย แต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป

1. ฟอกสีฟันในคลินิก (In-Office Whitening)

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดและเห็นผลเร็วที่สุด ทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกทันตกรรม

  • กระบวนการโดยละเอียด: ทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพฟันและช่องปากก่อน จากนั้นจะทำการปกป้องเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนด้วยเจลป้องกัน จากนั้นจึงทาเจลฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นสูง (ประมาณ 15-40%) ลงบนผิวฟัน และใช้แสงไฟ LED หรือเลเซอร์เพื่อกระตุ้นให้สารฟอกสีทำงานอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 45-60 นาทีต่อครั้ง
  • จุดเด่น:
    • เห็นผลรวดเร็ว: ฟันจะขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในครั้งเดียว
    • ฟอกสีฟันปลอดภัย: อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของทันตแพทย์ตลอดเวลา ลดความเสี่ยงในการระคายเคือง
    • ควบคุมสีได้: สามารถเลือกเฉดสีที่ต้องการได้ตามคำแนะนำของทันตแพทย์
  • ข้อจำกัด:
    • ฟอกสีฟัน ราคาค่อนข้างสูงกว่าวิธีอื่น
    • อาจมีอาการเสียวฟันชั่วคราวหลังทำ

2. ชุดฟอกสีฟันแบบนำกลับบ้าน (Take-Home Whitening)

เป็นอีกหนึ่งวิธีฟอกสีฟันที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและงบประมาณที่จำกัด

  • กระบวนการโดยละเอียด: ทันตแพทย์จะพิมพ์ปากเพื่อทำถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลที่พอดีกับรูปปากของคุณ จากนั้นจะให้เจลฟอกสีฟันความเข้มข้นต่ำ (ประมาณ 10-22%) กลับไปทำเองที่บ้าน โดยคุณจะต้องใส่ถาดฟอกสีฟันพร้อมเจลตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ซึ่งอาจเป็นช่วงกลางคืน หรือวันละ 2-3 ชั่วโมงเป็นเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
  • จุดเด่น:
    • ฟอกสีฟัน ราคาย่อมเยากว่าการทำในคลินิก
    • สะดวกสบาย: สามารถทำเองได้ที่บ้านในช่วงเวลาที่สะดวก
    • ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป: ทำให้สีฟันดูเป็นธรรมชาติ
  • ข้อจำกัด:
    • ต้องใช้เวลาต่อเนื่องหลายวันหรือสัปดาห์จึงจะเห็นผล
    • หากใส่ถาดไม่พอดีหรือใช้เจลมากเกินไป อาจทำให้เหงือกระคายเคือง

3. ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันทั่วไป (Over-the-Counter)

เป็นทางเลือกที่หาซื้อง่ายและเข้าถึงได้มากที่สุด

  • ชนิดผลิตภัณฑ์: มีหลายรูปแบบ เช่น ยาสีฟันฟอกสีฟัน, แถบฟอกสีฟันสำเร็จรูป (Whitening Strips), หรือปากกาฟอกสีฟัน
  • จุดเด่น:
    • ราคาถูก: เป็นวิธีที่ฟอกสีฟัน ราคาต่ำที่สุด
    • หาซื้อง่าย: มีจำหน่ายทั่วไปตามร้านขายยาหรือห้างสรรพสินค้า
  • ข้อจำกัด:
    • ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน: ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีสารฟอกสีความเข้มข้นต่ำมาก ทำให้เห็นผลได้น้อยหรือไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
    • ความปลอดภัยต่ำ: หากใช้ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันหรือเหงือกอักเสบได้ง่าย
    • ใช้ได้กับบางกรณี: เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันเหลืองเพียงเล็กน้อยจากคราบภายนอกเท่านั้น

ฟอกสีฟันแบบไหนดีที่สุดสำหรับคุณ?

การตัดสินใจเลือกวิธีฟอกสีฟันที่เหมาะสมที่สุดควรพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งงบประมาณ, ความต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว, และความปลอดภัย

ตารางเปรียบเทียบการฟอกสีฟัน

วิธีการฟอกสีฟัน

ผลลัพธ์ที่ได้

ระยะเวลา

ความปลอดภัย

ค่าใช้จ่าย

เหมาะสำหรับ

Zoom Whitening

ฟันขาวขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจน (5-8 เฉดขึ้นไป)

ประมาณ 1-2 ชั่วโมง

สูง (ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์)

สูงที่สุด

ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันใจ, มีงบประมาณ, และต้องการฟันขาวในระดับสูงสุด

Pola Office+

ฟันขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว (4-6 เฉด)

ประมาณ 1 ชั่วโมง

สูง (ทำโดยทันตแพทย์)

สูง (ใกล้เคียงกับ Zoom)

ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจน, กังวลเรื่องอาการเสียวฟัน

Home Kit

ฟันขาวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป (2-4 เฉด)

1-2 สัปดาห์

ปานกลาง (ต้องทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด)

ปานกลาง

ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่น, มีงบจำกัด, และไม่รีบเห็นผล

คำแนะนำจากทันตแพทย์สำหรับแต่ละกรณี

  • ต้องการผลลัพธ์ด่วน: หากคุณมีงานสำคัญหรืออีเวนต์ที่ต้องใช้รอยยิ้มที่มั่นใจแบบทันที การฟอกสีฟันในคลินิกคือคำตอบที่ดีที่สุด
  • ต้องการความสะดวก: หากคุณมีตารางงานที่ยุ่งและต้องการทำเองที่บ้าน ชุดฟอกสีฟันแบบนำกลับบ้านที่ทำโดยคลินิกทันตกรรมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
  • มีงบจำกัดและฟันไม่เหลืองมาก: หากต้องการแค่ฟันที่ดูสว่างขึ้นเล็กน้อยและมีงบจำกัด อาจลองใช้ผลิตภัณฑ์ทั่วไป แต่ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเสมอ

ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณา

ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน ไม่ว่าจะที่คลินิกทันตกรรมหรือที่บ้าน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันก่อน เพราะการฟอกสีฟันไม่เหมาะกับทุกคน เช่น ผู้ที่มีฟันผุ, โรคเหงือก หรือมีรอยอุดฟันขนาดใหญ่

ข้อควรระวังหลังการฟอกสีฟัน

เพื่อให้รอยยิ้มฟันขาวอยู่กับคุณไปนานๆ การฟอกสีฟันต้องมาพร้อมกับการดูแลที่ดีหลังทำ ดังนี้

  • ช่วง 48 ชั่วโมงแรก (White Diet): ช่วงนี้ฟันจะไวต่อการดูดซับสีมากเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้มทุกชนิด เช่น กาแฟ, ชา, ไวน์แดง, น้ำอัดลม, ซีอิ๊ว, ซอสต่างๆ หรือผลไม้ที่มีสีเข้ม และเน้นทาน -อาหารสีขาว- เช่น ข้าว, นม, โยเกิร์ต, ไก่, ปลา, มันฝรั่ง หรือข้าวโอ๊ต
  • การดูแลระยะยาว:
    • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขจัดคราบสะสม
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
    • ใช้ยาสีฟันฟอกสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปากที่ช่วยลดคราบสะสม
    • นัดทำความสะอาดฟันกับทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน

สรุป: ทางเลือกเพื่อรอยยิ้มใหม่ที่มั่นใจ

การฟอกสีฟันเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการยิ้มสวยและมั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีฟอกสีฟันแบบไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด

ฟอกสีฟันที่ไหนดี? คำตอบที่ดีที่สุดคือการเลือกคลินิกทันตกรรมที่ได้มาตรฐานและมีทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฟอกสีฟันพัทยาหรือในพื้นที่ใกล้เคียงที่คุณสะดวกได้ง่าย และก่อนตัดสินใจอย่าลืมสอบถามฟอกสีฟัน ราคา และรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หากคุณพร้อมที่จะเผยรอยยิ้มใหม่ที่ขาวสว่างและน่าประทับใจ อย่าลังเลที่จะเข้ามาปรึกษาทันตแพทย์เพื่อเริ่มต้นเส้นทางสู่รอยยิ้มในฝันของคุณวันนี้เลย!

รับคำปรึกษาฟรี

คำถามที่พบบ่อย การฟอกสีฟัน | มีกี่แบบ แบบไหนดีสุด?

การฟอกสีฟันโดยผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกมักใช้เวลา 60-90 นาทีสำหรับการรักษาแบบองค์รวม ซึ่งรวมถึงการเตรียมฟัน การฟอกสีฟันหลายรอบ และการดูแลหลังการรักษา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการภายในการมาพบทันตแพทย์เพียงครั้งเดียว จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทันที ชุดฟอกสีฟันแบบมืออาชีพที่นำกลับบ้านได้นั้นต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ วันละ 30-60 นาที แต่ให้การฟอกสีฟันที่ค่อยเป็นค่อยไปและควบคุมได้ดีกว่าสำหรับฟันที่บอบบาง

ใช่ การฟอกสีฟันแบบมืออาชีพที่ทันสมัยมีสูตรเฉพาะสำหรับฟันที่บอบบาง เราใช้สารลดอาการเสียวฟันก่อน ระหว่าง และหลังการรักษาเพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย การฟอกสีฟันอย่างมีการควบคุมและการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญทำให้เราสามารถปรับความเข้มข้นของการรักษาได้ตามระดับความสบายของคุณ ผู้ป่วยหลายรายที่มีภาวะเสียวฟันสามารถฟอกสีฟันได้สำเร็จโดยใช้ความเข้มข้นที่ต่ำลงเป็นระยะเวลานานขึ้น หรือผสมผสานการรักษาที่คลินิกและการรักษาที่บ้าน

คนไข้ส่วนใหญ่มักจะเห็นผลดีขึ้น 4-8 เฉดสีด้วยการฟอกสีฟันโดยผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสีเริ่มต้นและประเภทของคราบ คราบเหลืองมักจะให้ผลดีกว่าคราบเทาหรือน้ำตาล เราจะแสดงตัวอย่างก่อนและหลังการรักษาที่สมจริงในระหว่างการปรึกษา และใช้คู่มือเฉดสีเพื่อกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้ แม้ว่าเราไม่สามารถทำให้ฟันขาวขึ้นอย่างผิดธรรมชาติได้ แต่เราสามารถทำให้ฟันของคุณขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างเหมาะสมที่สุด

เราแนะนำให้รออย่างน้อย 30 นาทีก่อนรับประทานอาหารใดๆ จากนั้นจึงปฏิบัติตาม -อาหารสีขาว- เป็นเวลา 48 ชั่วโมง ในช่วงเวลานี้ ให้หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดคราบทุกชนิด รวมถึงกาแฟ ชา ไวน์ ผลไม้สี และซอส ควรเลือกรับประทานอาหารสีขาวหรือใส เช่น น้ำ นม ไก่ และข้าวขาว หลังจาก 48 ชั่วโมง คุณสามารถค่อยๆ กลับไปรับประทานอาหารตามปกติได้ แม้ว่าการจำกัดอาหารที่ทำให้เกิดคราบจะช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้นก็ตาม

คนไข้ส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการฟอกสีฟันโดยผู้เชี่ยวชาญ 1-2 ปีครั้ง พร้อมการเติมสีฟันตามความจำเป็น ผู้ที่ดื่มกาแฟหรือสูบบุหรี่จัดอาจต้องเข้ารับการรักษาบ่อยขึ้น เรามักแนะนำให้เติมสีฟันปีละครั้งโดยใช้ถาดฟอกสีฟันแบบสั่งทำพิเศษที่บ้านเพื่อรักษาความขาวให้เหมาะสมระหว่างการรักษาเต็มรูปแบบ ไลฟ์สไตล์และเป้าหมายการฟอกสีฟันของคุณจะเป็นตัวกำหนดความถี่ที่เหมาะสม เราจะจัดทำตารางการดูแลรักษาเฉพาะบุคคลในระหว่างการปรึกษาของคุณ